เก็บพระสมเด็จตามตำรา

ประวัติศาสตร์พระกริ่งปวเรศ
ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับประวัติการสร้างพระกริ่งปวเรศ:
ที่มาและความเชื่อดั้งเดิม:
- พระกริ่งปวเรศถูกกล่าวถึงว่าเป็น พระกริ่งแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ในสมัยรัชกาลที่ 5
- ความเชื่อในการสร้างพระกริ่งได้รับอิทธิพลมาจากประเทศกัมพูชา โดยมีจุดเริ่มต้นจาก พระกริ่งปทุมสุริยวงศ์ ซึ่งนำกลับมาจากเมืองเขมร และมีบันทึกอยู่ใน “นิราศนครวัด” ของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
- เดิมทีเชื่อว่าเป็นพระที่พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์สร้างไว้
- ต่อมา มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าพระกริ่งมีที่มาจากเมืองจีน โดยเฉพาะ พระกริ่งจีนโบราณในสมัยราชวงศ์หมิง ซึ่งเผยแพร่เข้ามานานแล้ว และบางทีอาจหมายถึงพระกริ่งปทุมสุริยวงศ์ด้วย
- พระกริ่งที่พบที่ปราสาทบาแคงในพนมบาแคง เรียกว่า พระกริ่งบาเก็ง ซึ่งเป็นศิลปะช่างจีนเช่นกัน
ผู้สืบทอดตำราและวัสดุ:
- ตำราการสร้างพระกริ่งและโลหะเนื้อนวะได้สืบทอดมาจาก สมเด็จพระพันรัตน์ วัดป่าแก้ว ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
- ตำรานี้เรียกว่า “ตำรามงคลโลหะ”
- การสร้างพระกริ่งปวเรศมีการผสมแกนชนวนที่เหลือจากการเททองหล่อพระพุทธชินราชและพระพุทธชินสี ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก นำมารวมกับโลหะ 9 ชนิด (นวโลหะ)
ลักษณะของเนื้อนวะ:
- พระกริ่งที่เป็นเนื้อนวะ ผิวจะมีลักษณะ ดำนวล ดำด้าน และเงาเล็กน้อย
- รอย “ตา มุ้ง” ซึ่งเป็นรอยหดเหี่ยวของเนื้อโลหะ จะเห็นได้ด้วยกล้องกำลังสูง (700x ขึ้นไป) ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าหรือกล้อง 10x
วาระการสร้างพระกริ่ง: สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงสร้างพระกริ่งปวเรศในวาระสำคัญต่างๆ รวม 6 ครั้ง โดยก่อนที่ท่านจะได้รับพระยศ “กรมพระยาปวเรศ” (ซึ่งได้รับในปี พ.ศ. 2417) ท่านคือ “กรมหมื่นบวร รังสีสุริยพันธุ์”
- พ.ศ. 2404: ทรงสร้างขึ้นเพื่อทดแทนพระกริ่งทองคำที่หายไปในพระราชพิธีมุรธาภิเษกของพระมหากษัตริย์ (รัชกาลที่ 5)
- พ.ศ. 2409: เพื่อถวายรัชกาลที่ 4 ในพระราชพิธีที่รัชกาลที่ 5 ทรงผนวชเป็นสามเณร และเป็นที่ระลึกถึงรัชกาลที่ 4 โดยสร้าง จำนวน 9 องค์
- พ.ศ. 2411: เป็นอนุสรณ์ถวายรัชกาลที่ 5 ในพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นครองราชย์ครั้งแรก ขณะพระชนมายุ 15 ชันษา
- สร้างโดยมี เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นเจ้าภาพ
- พระกริ่งรุ่นนี้ ไม่มีเส้นพระศก และ ไม่มีส่วนผสมของเนื้อพระพุทธชินสี แบบครั้งที่ 1 และ 2
- เนื้อจะเป็น เนื้อสัมฤทธิ์ ซึ่งมี 3 ชนิด คือ สัมฤทธิ์ออกสีแดง, สัมฤทธิ์ออกสีขาว (หรือขาวจัด) และสัมฤทธิ์ออกสีเหลือง
- พ.ศ. 2416: สำหรับพระราชพิธีทรงผนวชเป็นพระภิกษุ และบรมราชาภิเษกขึ้นครองราชย์ครั้งที่ 2 ของรัชกาลที่ 5
- พระกริ่งรุ่นนี้ ไม่มีการบรรจุลูกกริ่ง (เขย่าแล้วไม่มีเสียงกริ่ง)
- กรมพระยาปวเรศฯ ทรงออกแบบเป็น 2 แบบ หล่อในคราวเดียวกัน
- พ.ศ. 2426: เรียกว่า พระกริ่งปราบฮ่อ ร.5
- กรมพระยาปวเรศฯ ไม่ได้เป็นผู้ออกแบบ
- ออกแบบโดยช่างสิบหมู่และโหรหลวง
- มีลักษณะพิเศษคือ ด้านหลังมีคำว่า “ร.5” หล่อติดอยู่
- พ.ศ. 2434: เป็นวาระสุดท้ายของการสร้าง สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์เมื่อกรมพระยาปวเรศฯ ได้รับการสถาปนาเป็น สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
- กรมพระยาปวเรศฯ ไม่ได้เป็นผู้ออกแบบ
- ออกแบบโดยช่างสิบหมู่ พระบรมวงศานุวงศ์ และไวยาวัจกรของวัดบวรฯ
- เนื่องจากมีผู้สร้างและออกแบบหลายคน จึงมี หลายพิมพ์ทรง
- โลหะที่ใช้ในรุ่นนี้อาจไม่เหมือนกับยุคก่อนหน้า
- มีการสร้างเพื่อแจกจ่ายแก่ ข้าราชบริพารและพระสกนิกรจำนวนมาก ทำให้รุ่นนี้มีจำนวนมากที่สุด และไม่ระบุจำนวนที่แน่ชัด
- บางส่วนอยู่ในขันน้ำมนต์และยอดไม้เท้าของท่าน
- พระกริ่งรุ่นนี้มีความเชื่อมโยงกับพระกริ่งคู่แฝดที่วัดสุทัศน์จัดสร้างในปี 2443 แต่จะแตกต่างกันที่การอุดกริ่ง
จำนวนการสร้างและข้อสังเกต:
- ใน 6 ครั้งของการสร้าง พระกริ่งปวเรศมีการระบุจำนวนที่แน่ชัดเพียง 2 ครั้ง รวมกันเพียง 12 องค์ ซึ่งเป็นพระที่สร้างขึ้นเพื่อพิธีสำคัญของพระมหากษัตริย์เท่านั้น
- มีเพียงครั้งที่ 6 (พ.ศ. 2434) เท่านั้นที่สร้างขึ้นเพื่อฉลองสมณศักดิ์ของกรมพระยาปวเรศฯ และอาจมีการสร้างแจกจ่ายเป็นที่ระลึกแก่ข้าราชบริพารและประชาชนทั่วไป จึงคาดว่ามีจำนวนมากที่สุดในบรรดาวาระทั้งหมด
- การประทับ “เม็ดงา” (รอยตอกเม็ดเล็กๆ) บนพระกริ่งในสมัยก่อนใช้บ่งบอกจำนวนช่างที่ช่วยกันสร้างและตกแต่งพระ เช่น ตอก 1 เม็ด หมายถึงมีช่าง 2 คนช่วยกันสร้าง, ตอก 3 เม็ด หมายถึงมีช่าง 4 คน, และหากไม่มีการตอกเลย หมายถึงมีช่างเพียงคนเดียวที่สร้าง ตำแหน่งของการตอกเม็ดงาไม่จำเป็นต้องอยู่ในตำแหน่งเดียวกันทุกองค์
ความสำคัญทางประวัติศาสตร์:
- การสร้างพระกริ่งปวเรศเป็นไปตามตำราโบราณที่มีหลักการและวิชาการชัดเจน ไม่ได้สร้างขึ้นอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า
- การนำเสนอประวัติศาสตร์นี้ช่วยให้เข้าใจถึงพุทธศิลป์ โลหะที่ใช้สร้าง และวิธีการหล่อโบราณ ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการพิจารณาพระกริ่งเหล่านี้
จากข้อมูลในแหล่งที่มา ประเด็นเกี่ยวกับจำนวนการสร้างพระกริ่งปวเรศสามารถสรุปได้ดังนี้ครับ:
- จำนวนการสร้างโดยกรมพระยาปวเรศเอง: มีการกล่าวถึงว่าพระกริ่งปวเรศที่สร้างโดยสมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ด้วยพระองค์เองนั้นมี จำนวนน้อยมาก น่าจะไม่เกิน 30 องค์
- การสร้างในพิธีสำคัญสำหรับพระมหากษัตริย์: แหล่งที่มาระบุว่าการสร้างพระกริ่งเพื่อพิธีสำคัญของพระมหากษัตริย์มี เพียง 2 ครั้งที่ระบุจำนวนไว้ รวมแล้ว 12 องค์
- หนึ่งในนั้นคือปี พ.ศ. 2409 ซึ่งมีการสร้าง จำนวน 9 องค์ เพื่อถวายรัชกาลที่ 4 ในพระราชพิธีที่รัชกาลที่ 5 ทรงผนวชเป็นสามเณร.
- การสร้างในวาระอื่นๆ:
- หลวงชำนาญ เลขา (ชื่อหุ่น) ผู้ใกล้ชิดสมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ ได้นำไปจัดสร้างขึ้นอีก จำนวนหนึ่ง แต่ไม่ทราบว่ามากน้อยเพียงใด.
- การสร้างใน ปี พ.ศ. 2411 ในพิธีบรมราชาภิเษกของรัชกาลที่ 5 นั้น ไม่ระบุจำนวน แต่กล่าวว่าเป็นเนื้อสัมฤทธิ์ 3 ชนิด.
- การสร้างครั้งที่ 5 ใน ปี พ.ศ. 2426 (พระกริ่งปราบฮ่อ ร.5) กรมพระยาปวเรศฯ ไม่ได้เป็นผู้ออกแบบ แต่ช่างสิบหมู่และโหรหลวงเป็นผู้ออกแบบ.
- การสร้างจำนวนมากที่สุดในปี พ.ศ. 2434:
- การสร้างพระกริ่งครั้งสุดท้ายใน ปี พ.ศ. 2434 ซึ่งเป็นช่วงที่สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีการกล่าวว่า มีการสร้างพระกริ่งจำนวนมาก และ จำนวนการสร้างไม่ระบุไว้.
- ในครั้งนี้มีการ สร้างแจกเป็นที่ระลึกแก่ข้าราชบริพารและพระสกนิกรในสมัยนั้น จึงคาดว่ามีจำนวนมากที่สุด และ มีหลายพิมพ์ทรง.
- นอกจากนี้ยังมีการออกแบบโดยช่างสิบหมู่ และมีการสร้างโดยพระบรมสานุวงศ์และไวยวัจกรของวัดบวรฯ ในสมัยนั้นด้วย.
- เนื้อหานวโลหะ: แหล่งที่มากล่าวว่าพระกริ่งเนื้อนวโลหะที่แท้จริงนั้น น่าจะมีการสร้างในช่วงแรกๆ เช่น ปี พ.ศ. 2404 และ 2409.
- สรุปภาพรวม: แหล่งที่มาเน้นย้ำว่าการสร้างพระกริ่งปวเรศในพิธีสำคัญช่วงแรกมีจำนวนน้อย และคำว่า “พระกริ่งปวเรศ” เริ่มใช้เมื่อกรมพระยาปวเรศได้รับพระราชทานนามในปี พ.ศ. 2417. ดังนั้น การสร้างจำนวนมากจริงๆ จึงน่าจะเป็นปี พ.ศ. 2434 เพื่อแจกจ่ายให้แก่พุทธศาสนิกชนในยุคนั้น.